เขียนเมื่อ: 20 June 2021
ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลง จากการประกาศแนวทางขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการเมืองระหว่างประเทศ โดย Dow Jones -3.45%, S&P500 -1.91%, NASDAQ -0.28%, EU STOXX 600 -1.20% (ยุโรป), CSI300 -2.34% (จีน), TOPIX -0.38% (ญี่ปุ่น), SENSEX -0.25% (อินเดีย), VN100 +0.63% (เวียดนาม), SET -1.44%
ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (Fed) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ และคงอัตราการทำ QE ไว้ที่ระดับเดิม โดยคาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2023 อย่างไรก็ผลการประกาศแสดงว่าอัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั้นเร็วกว่าที่ Fed คาดการณ์ ต้องติดตามดูว่า Fed จะมีการปรับเปลี่ยนแผนการอย่างไรในการประกาศนโยบายครั้งต่อไป (อ้างอิง)
อย่างไรก็ตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกายังปรับตัวลดลง เนื่องจากการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และ Fed ประกาศคงนโยบาย QE ต่อไป โดยยังไม่มีการระบุว่าจะลดขนาด QE ลงเมื่อไหร่ ทำให้หุ้นกลุ่มเติบโตปรับตัวลดลงน้อยกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่ในภาพรวมปรับตัวลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา (อ้างอิง)
รัฐบาลจีนประกาศกฏหมายใหม่ เพื่อป้องกันข้อมูลภายในประเทศ ให้อำนาจประธานาธิบดี Xi Jinping สั่งปิด-ปรับ-ยึดไปอนุญาตประกอบกิจการ กับบริษัทที่ทำข้อมูลภายในประเทศรั่วไหล โดยมองว่าจะกระทบกับบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในสัปดาห์นี้ของบริษัทอย่าง Alibaba, Tencent, Meituan ไม่ได้รับผลกระทบมาก เนื่องจากมีแรงกดดันอยู่ก่อนหน้าแล้ว (อ้างอิง)
ตลาดหุ้นจีนทั้ง A-shares และ Hong Kong ปรับตัวลงแรงติดต่อกันเมื่อวันอังคารและวันพุธ โดยมีแรงกดดันหลักมาจากความตึงเครียดระหว่างกลุ่มประเทศ G7 และรัฐบาลจีน (และรัสเซีย) รวมยังขาดปัจจัยเชิงบวกระยะสั้น เป็นเหตุให้นักลงทุนต่างชาติขายสินทรัพย์ออกจากภาคธุรกิจที่อาจมีการประเมินราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง เช่น กลุ่ม material และ healthcare (อ้างอิง1, อ้างอิง2)
ผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (G7) ประกาศจะร่วมกันให้ความช่วยเหลือด้านวัคซีน Covid กับประเทศที่ยากจนเป็นจำนวนรวม 1 พันล้านโดส (อ้างอิง1) ซึ่งนับรวมประกาศก่อนหน้าของสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร (อ้างอิง2) อย่างไรก็ตามประเทศที่กำลังเผชิญวิกฤติ Covid ยังต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมตามเป้าหมายที่องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ (อ้างอิง3)
ตลาดค้าปลีกและส่งออกของเวียดนามขยายช่องทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดผู้ให้บริการ e-commerce ชั้นนำของโลกอย่าง Amzaon และ Alibaba พยายามแข่งขันกันให้ผู้ค้าขายสินค้าในเวียดนาม จดทะเบียนร้านค้า online บน platform ของตน หลังความต้องการสินค้าที่ผลิตในเวียดนามเติบโตสามเท่าในปีที่ผ่านมา เช่น สินค้าประเภท เครื่องมือเครื่องใช้ทั่วไป เครื่องครัว และเครื่องแต่งกาย (อ้างอิง)
นายกรัฐมนตรีไทย ออกมาประกาศเป้าหมาย เปิดประเทศใน 120 วัน และตั้งเป้ากระจายวัคซีน Covid 105.5 ล้านโดสในปีนี้ โดยเป้าหมายการเปิดประเทศจะเริ่มนับจากวันที่ 1 ก.ค. นี้ ที่จะเริ่มทดลอง “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบแล้วสามารถเดินทางเข้าพื้นที่ได้โดยไม่ต้องกักตัว (อ้างอิง1, อ้างอิง2)
Disney+ เตรียมเปิดให้บริการในไทยแล้ว โดยจะเริ่มการ streaming ในวันที่ 30 มิถุนายน นี้ โดย Disney ให้ AIS เป็นผู้ให้บริการ Disney+ Hotstar ในประเทศไทย ใครสนใจลองเข้าไปดูรายละเอียดกันได้ที่ https://www.disney.co.th/ ฝั่งตัว Disney เอง นอกจากการขยายธุรกิจ streaming ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกแล้ว ในปีนี้ก็น่าจะได้รับแรงหนุนการกลับมาของธุรกิจสวนสนุกทั่วโลก ที่กลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้ง
นักลงทุนมองว่าการปรับตัวลดลงของ bond yield และเงินเฟ้อที่น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เป็นสัญญาณว่าหุ้นเติบโต (growth stock) รวมถึงหุ้นกลุ่ม defensive ที่มีอำนาจกำหนดราคาสูง เช่น กลุ่ม healthcare จะกลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง (อ้างอิง)
กลุ่ม REIT ในไทยน่าสนใจ หลังกลับมาทำผลตอบแทนได้ดีในระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หลังกลุ่ม REIT ทั่วโลก ที่ปรับตัวขึ้นนำมาแล้วหลายเดือน น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว อีกทั้งยังได้ปัจจัยหนุนจากเป้าหมายเปิดประเทศของรัฐบาล
หุ้นเทคโนโลยีจีนยังน่าทยอยสะสม เนื่องจากปัจจัยกดดันที่เพิ่มขึ้นในตลาดจีนไม่ได้ส่งผลมากนัก อาจแสดงว่ารับข่าวร้ายไปมากแล้ว อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงหากมีนโยบายภาครัฐที่ส่งผลกระทบรุนแรง