เขียนเมื่อ: 22 August 2021
ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลดลง จากปัจจัยกดดันที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค โดย Dow Jones -1.11%, S&P500 -0.59%, NASDAQ -0.73%, EU STOXX 600 -1.48% (ยุโรป), CSI300 -3.57% (จีน), TOPIX -3.87% (ญี่ปุ่น), SENSEX -0.19% (อินเดีย), VN100 -2.10% (เวียดนาม), SET +1.63%
ยอดติดเชื้อผู้ป่วย Covid ในไทยทรงตัวอยู่ที่ระดับ 20,000 คน/วัน แต่ยอดผู้เสียชีวิตรายวันปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 300 คน/วัน สถานการณ์มีแนวโน้มยืดเยื้อกว่าที่หลายสถาบันคาดกาณ์ก่อนหน้า ล่าสุดศูนย์วิจัยกสิกรประมาณการณ์ว่า GDP ของไทยในปี 2021 อาจจะติดลบที่ -0.5% โดยภาคการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว และภาคการผลิตมีความเสี่ยงจากการระบาดระลอกใหม่ ส่วนภาคการส่งออกยังขยายตัวได้จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก (อ้างอิง)
รายงานสรุปการประชุมธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) คาดการณ์ว่า Fed จะเริ่มลดขนาดวงเงิน QE ภายในปีนี้ แม้ว่าน่าจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนเริ่มลดสัดส่วนการถือครองหุ้น ส่งผลให้ภาพรวมตลาดอเมริกาและยุโรปปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายคาดว่า Fed จะยังสงวนท่าทีว่าจะปรับนโยบายในช่วงนี้ เนื่องจากการระบาดของ Covid เริ่มรุนแรงขึ้นในอเมริกา (อ้างอิง1, อ้างอิง2, อ้างอิง3)
ตลาดหุ้นจีนยังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากนักลงทุนทยอยลดสัดส่วนการถือครองหุ้นในบริษัทจีนเพื่อลดความเสี่ยง หลังจากรัฐบาลจีนประกาศก่อนหน้าว่าคงการตรวจสอบบริษัทต่างๆ อย่างเข้มงวดต่อไปอีกหลายปี ล่าสุดประธานาธิบดี Xi Jinping อกกมาแถลงถึงเป้าหมายของทางการที่จะสร้าง common prosperity หรือการเติบโตร่วมกัน ของประชากรจีน โดยมุ่งเป้าให้เกิดการกระจายรายได้และความเจริญ แต่ตลาดทุนอาจมองได้ว่าจะลดความได้เปรียบทางการแข่งขันและการทำกำไรของบริษัทขนาดใหญ่ (อ้างอิง1, อ้างอิง2)
นักวิเคราะห์หลายแห่งออกมาให้ความเห็นว่าจีนกำลังพยายามนำ model การพัฒนาประเทศของเยอรมนีมาปรับใช้ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคการผลิตและการส่งออก รวมถึงเล็งเห็นประโยชน์ของการศึกษาสายอาชีพ ซึ่งระบบเศรษฐกิจของเยอรมนีนั้นเติบโตได้แข็งแกร่งอย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครังที่ 2 (อ้างอิง1, อ้างอิง2, อ้างอิง3)
นักวิเคราะห์ให้ความเห็นตรงกันว่าจีนกำลังดำเนินนโยบายเข้มงวดเพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว มุ่งเป้ากระจายรายได้และความเจริญ
โดยหากจีนพยายามดำเนินนโยบายแบบเยอรมนีจริง ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันให้บริษัทขนาดเล็ก-กลาง ที่เน้นภาคการผลิตและการส่งออก
นักลงทุนอาจพิจารณาสะสมกองทุน เช่น
KT-ASHARES-A ลงทุนในหุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในประเทศจีน (A-Shares),
WE-CHIG ลงทุนในหุ้นบริษัทจีนขนาดเล็ก-กลาง ที่มีโอกาสเติบโตสูง
แม้จะมีความกังวลเรื่องการปรับนโยบายทางการเงิน บริษัทขนาดใหญ่โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีก็จะยังคงเติบโตได้ดี จากความได้เปรียบทางด้านผลิตภัณฑ์และฐานผู้ใช้ และมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งต่อไป
นักลงทุนระยะยาวสามารถพิจารณาทยอยสะสม กองทุนเช่น
TMBGQG ลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ ที่เติบโตมั่นคงทั่วโลก,
KFHTECH-A ลงทุนในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีการเติบโตโดดเด่น,
B-INNOTECH ลงทุนในหุ้นบริษัทที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ด้านความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี
ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงแรงอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ ภายหลังมีการประกาศมาตรการ lockdown ที่เข้มงวดขึ้นสำหรับเมือง Ho Chi Minh City ที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 23 สิงหาคม (อ้างอิง1, อ้างอิง2)
ผู้สนใจลงทุนกองทุนเวียดนามในระยะยาวสามารถพิจารณาเป็นโอกาสสะสมเพิ่ม
กองทุนเด่น เช่น
PRINCIPAL VNEQ-A กองทุนเวียดนามในไทยที่มีผลตอบแทนโดดเด่นที่สุดรอบปีที่ผ่านมา