เขียนเมื่อ: 12 September 2021
ตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย outperform โดย Dow Jones -2.15%, S&P500 -1.69%, NASDAQ -1.61%, EU STOXX 600 -1.18% (ยุโรป), CSI300 +3.52% (จีน), TOPIX +3.78% (ญี่ปุ่น), SENSEX +0.33% (อินเดีย), VN100 +1.27% (เวียดนาม), SET -0.91%
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ปรับตัวลงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา คาดว่ามีความกังวลเรื่องยอดผู้ติดเชื้อ Covid ที่กลับมาสูงขึ้น ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงเช่นกัน ทำให้สุดท้ายแล้วธนาคารกลางสหรัฐฯ จะต้องลดมาตรการสนับสนุน (อ้างอิง)
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศ เตรียมปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ตาม ECB ใช้คำว่า calibrate ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะกลับมาเพิ่มวงเงินสนับสนุนอีก ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไปจากที่คาด อย่างไรก็ตามจะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไป (อ้างอิง1, อ้างอิง2, อ้างอิง3)
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังนายกรัฐมนตรี Yoshihide Suga เตรียมลงจากตำแหน่ง และมีการคาดการณ์ตัวเต็งที่จะมาทำหน้าที่แทน ข่าวนี้เหมือนเป็น catalyst ตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ราคาไม่ได้ปรับตัวขึ้น แม้ผลประกอบการดีขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยยังมีแนวโน้มที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะปรับตัวขึ้นได้อีกในระยะสั้น-กลาง เนื่องจากตัวเต็งที่จะมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากนี้ ต่างมีความต้องการจะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ (อ้างอิง)
มุมมองการลงทุนจาก Finnomena – here
กองทุนที่เน้นลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังคงน่าสนใจ เนื่องจากเป็นการผสมผสานพื้นฐานที่แข็งแกร่งกับแนวโน้มการเติบโตในอนาคต
ซึ่งจะสามารถเติบโตได้ แม้นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจจะผ่อนคลายลง
กองทุนเด่น เช่น
TMBGQG ลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ ที่เติบโตมั่นคงทั่วโลก,
KFHTECH-A ลงทุนในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีการเติบโตโดดเด่น,
B-INNOTECH ลงทุนในหุ้นบริษัทที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ด้านความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี
กองทุนกลุ่ม healthcare มีความน่าสนใจ เนื่องจากที่ผ่านมาราคายังไม่ได้ปรับขึ้นมากนัก แต่ผลประกอบการยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังมีความเป็น defensive ที่ราคาจะมีความผันผวนน้อยกว่าหุ้นกลุ่มเติบโต หากมีการลดการลงทุนจากนโยบายการเงินที่จะเข้มงวดขึ้นต่อจากนี้
(อ่านเพิ่มเติมจาก Finnomena – here)
กองทุนเด่น เช่น
BCARE กองทุน healthcare ยอดนิยมของไทย ที่เน้นลงทุนในบริษัทนวัตกรรมทางการแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพ,
KFHHCARE-A เน้นลงทุนในบริษัทกลุ่ม quality และ defensive โดยหลีกเลี่ยงหุ้นที่มูลค่าสูงเกินจริง,
KT-HEALTHCARE-A ผสมผสานบริษัทกลุ่ม defensive เช่น ยา และอุปกรณ์การแพทย์ กับกลุ่ม biotechnology ที่ช่วยสร้างการเติบโต