เขียนเมื่อ: 23 April 2022
การเคลื่อนไหวรอบสัปดาห์ Dow Jones -1.86%, S&P500 -2.75%, NASDAQ -3.83%, EU STOXX 600 -1.42% (ยุโรป), CSI300 -4.19% (จีน), TOPIX +0.47% (ญี่ปุ่น), SENSEX -1.96% (อินเดีย), VN100 -5.11% (เวียดนาม), SET +0.97%
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ออกแถลงการณ์ล่าสุด ให้ความสำคัญที่จะต้องลดอัตราเงินเฟ้ออย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยที่อัตรา 0.5% ในการประชุมครั้งต่อๆ ไปในปีนี้ (อ้างอิง)
นอกจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว Fed ยังคงแผนที่จะถอดเงินออกจากระบบเศรษฐกิจ ที่อาจสูงถึงเดือนละ 95,000 ล้าน USD (อ้างอิง)
สองประเด็นนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่สามติดต่อกัน และยังมี momentum ที่จะปรับตัวลงต่อไปจากปัจจัยลบที่กดดันต่อเนื่อง (อ้างอิง)
ฝั่งเอเชียก็ไม่สามารถช่วยให้ภาพรวมตลาดทุนดูดีขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีนที่ยังมีการ lockdown ในเมืองใหญ่ แม้จะมีความพยายามผ่อนคลายการควบคุมเพื่อให้ผู้คนสามารถไปทำงานได้ แต่ยังคงต้องใช้เวลาอีกระยะกว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาเป็นปกติ (อ้างอิง)
นักลงทุนที่ลงทุนในบริษัทที่ได้รับความคาดหวังด้านการเติบโตสูง ควรพิจารณาความเสี่ยงของตนเองอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
เนื่องจากปัจจัยลบจากแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการลดเงินในระบบเศรษฐกิจทำให้นักลงทุนพร้อมขายหุ้นบริษัทที่มีผลประกอบการ “ไม่สมบูรณ์แบบ” ทันที
โดยตัวอย่างล่าสุดคือ Netflix ที่ราคาหุ้นปรับลง 40% ในวันเดียว (อ้างอิง)
ช่วงเวลาปัจจุบันยังไม่เหมาะที่จะลงทุนแบบเก็งกำไรเนื่องจากขาดปัจจัยบวกในระยะสั้น-กลาง
แนะนำลงทุนแบบ DCA เพื่อไม่ให้พลาดเป้าหมายระยะยาว ในกองทุนที่เน้นบริษัทชั้นนำที่แข็งแกร่ง และกองทุนที่ลงทุนในประเทศที่มีโอกาสเติบโตได้สูง
กองทุนเด่น เช่น
KFGBRAND-A ลงทุนในบริษัทที่ยั่งยืน มีแบรนด์แข็งแกร่ง สามารถสร้างรายได้ในทุกสภาวะตลาด,
B-INNOTECH ลงทุนในหุ้นบริษัทที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ด้านความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี,
PRINCIPAL VNEQ-A กองทุนเวียดนามที่มีผลตอบแทนโดดเด่นมายาวนาน
นักลงทุนที่มีกระแสเงินสดมากกว่าเป้าหมาย DCA อาจพิจารณาสะสมเงินลงทุนไว้ก่อน เพื่อเข้าลงทุนเมื่อตลาดมีปัจจัยบวกชัดเจนขึ้น